บนเส้นทางโค้ชมืออาชีพ ตอน 3 ไลฟ์โค้ช เรียน Life Coach สถาบันฝึกโค้ช Thailand Coaching Academy (TCA)

เส้นทางการโค้ชมืออาชีพพาฉันเดินทางมาสู่ สถาบันฝึกอบรมทักษะการโค้ชแห่งที่ 2 ก้าวสู่การฝึกฝน Life Coaching ชื่อ Thailand Coaching Academy  by Jimi The Coach หรือ TCA จัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2555 คุณพจนารถ ซีบังเกิด เป็นผู้ก่อตั้งและเจ้าของโรงเรียน

TCA นิยามว่า การโค้ชคือการช่วยให้ผู้ได้รับการโค้ชตระหนักถึงความเป็นไปของตนเอง และจุดที่ตนเองยืนอยู่ในทุกๆด้าน และตั้งเป้าหมายไปข้างหน้าอย่างสร้างสรรค์ รวมถึงค้นพบศักยภาพ และความสามารถของตนเองในการที่จะนำออกมาใช้เพื่อพาตนเองไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ ด้วยความมุ่งมั่นมีแรงบันดาลใจและตั้งอยู่บนทัศนคติที่ดีในการดำเนินชีวิต

 

หลักสูตรสำหรับโค้ชมืออาชีพ

หลักสูตรนี้ได้รับการรับรองจาก ICF ในประเภท Accredited Coach Training Programs (ACTP) ในสมัยที่เรียนนั้น หลักสูตร The Eureka of Coaching แบ่งทักษะ Life Coaching ออกเป็น 3 ระดับ คือ

  1. Principle of Life Coaching ใช้เวลาในห้องเรียน 2 วัน
  2. Life Coaching Practitioner ใช้เวลาในห้องเรียน 3 วัน หลังจากนั้นใช้เวลาอีก 4 เดือน
  3. Life Coaching Master Practitioner ใช้เวลาในห้องเรียน 4 วัน หลังจากนั้นใช้เวลาอีก 6 เดือน

 

Principle of Life Coaching

TCA กล่าวถึงหลักความเชื่อของโค้ชไว้ว่า “การที่จะเป็นโค้ชที่ประสบความสำเร็จต้องมีหลักยึด หลักคิดและหลักความเชื่อที่ชัดเจน เพื่อที่จะช่วยพาผู้ที่รับการโค้ชไปสู่ความสำเร็จของเขาเอง หลักหนึ่งที่โค้ชต้องเชื่อมั่นคือ คุณค่าของคน ต้องเชื่อว่าคนทุกคนเป็นคนดี ต้องการการเจริญเติบโต และมีคุณสมบัติที่ดีในตัวตนของเขาในการที่จะพาเขาไปสู่การเจริญเติบโตและความสำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายไว้”

Mindset ของโค้ชเป็นสิ่งที่สำคัญมาก การเป็นโค้ชที่ดีเริ่มต้นด้วย Mindset ของโค้ชที่ดี อย่างน้อย 4 ประการ

  1. คนเป็น/ทำได้มากกว่าที่เขาแสดงออก และที่เราเห็น
  2. ทุกคนทำดีที่สุดแล้วด้วยทรัพยากรที่มีอยู่ขณะนั้น
  3. จงมีความยืดหยุ่นของพฤติกรรม
  4. ไม่มีความล้มเหลว มีเพียงผลสะท้อนกลับ

 

Life Coaching Practitioner

หลักสูตรนี้ใช้เวลาในห้องเรียน 3 วัน หลังจากนั้นใช้เวลาอีก 4 เดือน เรียนทักษะสำคัญของ Practitioner เข้ารับฟังการสาธิตสดการโค้ชผ่านทางระบบ on-line ฝึกการโค้ชแบบ Triad และวัดผลการเรียนรู้ด้วย Knowledge Paper

 

Life Coaching Master Practitioner

ในปี 2556 หลักสูตรนี้เป็นโปรแกรมสำหรับผู้ที่ต้องการมีอาชีพเป็นโค้ชมืออาชีพ หรือสร้างธุรกิจการโค้ชของตนเอง หรือผู้ที่ใช้ทักษะการโค้ชในการให้คำแนะนำ หรือสร้างระบบในระดับองค์กร เช่น การออกแบบวัฒนธรรมการโค้ชในองค์กร ผู้เรียนจะมีองค์ความรู้และทักษะ ของ Master Practitioner คือ

  • ระบบการโค้ชแบบครบวงจรสำหรับการเป็นโค้ชมืออาชีพ
  • ทักษะการโค้ชขั้นสูง และเครื่องมือ DISC ใช้ทำความเข้าใจพฤติกรรม ค่านิยม และพลังงานของคน
  • โมเดลการโค้ชแบบ Executive Coaching ที่ใช้ในการโค้ชผู้นำ
  • การโค้ชด้วยโมเดล NLP (Neuro-Linguistic Programming)

ระยะเวลาของหลักสูตร ใช้เวลาในห้องเรียน 4 วัน หลังจากนั้นใช้เวลา 6 เดือน ในการเรียนทักษะสำคัญของ Master Practitioner เข้ารับฟังการสาธิตสดการโค้ชผ่านทางระบบ on-line ฝึกการโค้ชและรับการ Mentor 3 ครั้ง หลังจากนั้นประเมินผลด้วย Knowledge Paper

 

สิ่งที่ได้จากการเรียน TCA

การเรียนที่ TCA ทำให้ฉันเข้าใจได้ว่า โค้ชวิชาชีพมีเส้นทางในการเรียนรู้ของตนเอง มีการพัฒนาอาชีพที่ชัดเจนตามมาตรฐานขององค์กรทางวิชาชีพของโค้ช การพัฒนาทักษะของโค้ชเกิดจากการฝึกฝน ปฏิบัติ และการทำงานจริงกับลูกค้าที่มีความปกติ ความเก่ง ความมุ่งมั่นที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงในตนเอง ความท้าทายของโค้ชไม่ใช่ต้องการเก่งกว่า หรือ มีประสบการณ์ในการทำงานหรือในชีวิตมากกว่าผู้รับการโค้ช แต่โค้ชมีทักษะ เครื่องมือ และวิธีการในการโค้ช เพื่อสนับสนุนให้ผู้รับการโค้ชหลุดจากความเชื่อบางอย่างซึ่งขวางกั้นการก้าวไปข้างหน้า มองโลกในมุมมองใหม่ และลงมือกระทำบางอย่างเพื่อเป้าหมายในการทำงานหรือในชีวิตของตนเอง ดังนั้นโค้ชจึงเรียนรู้และเติบโตไปพร้อมๆกับผู้รับการโค้ช

ฉันค่อยๆเรียนรู้ ฝึกฝนทักษะต่างๆให้ผสมผสานในเนื้อในตัว เพื่อนำมาใช้ในการทำงาน ทักษะเหล่านั้นรวมแล้วมีมากกว่า 50 เรื่อง แต่ทักษะที่ฉันให้ความสำคัญคือ

  • การสร้างความสัมพันธ์เชิงลึก (Building Rapport)
  • การรับฟังขั้นสูง (Power Listening) ฟังให้ลึกซึ้งถึง Patterns มากกว่าได้ยินแค่ผิว ฟังให้ได้ยินบริบท (Context) ไม่ใช่เนื้อหา (Content) ฟังให้เข้าใจในแผนที่ (Map) หลักการในชีวิต (Rule of Life) รูปแบบการใช้ชีวิต
  • การอยู่กับปัจจุบันขณะ (Be there)
  • การใช้คำถาม (Powerful Questioning) และการใช้สัญชาตญาณ (Intuition) ฝึกอยู่กับปัจจุบันขณะ ละทิ้งเรื่องราวของตนเอง ปล่อยให้ว่าง รับฟัง และถามคำถามตามสัญชาตญาณ
  • 6 คำถามสำคัญเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในระดับลึก
  • ความสนใจใคร่รู้ในตัวผู้อื่น (Curiosity)
  • การ Facilitate การเรียนรู้ตามสถานการณ์ เช่น ให้มุมมองใหม่ๆ และแตกต่างในการมองสถานการณ์  ให้กำลังใจและชมเชย เพื่อรับรองและสร้างความมั่นใจ ท้าทายเพื่อให้เกิดการขยายขอบเขตและการเปลี่ยนแปลง ให้ความรู้ที่เหมาะกับเหตุการณ์ หรือ ขยายจำนวนของทางเลือกให้มากกว่าที่ผู้รับการโค้ชคิด เป็นต้น
  • การสร้างความตระหนักรู้ (Awareness)

 

นอกจากเรียนในห้องเรียน ฉันใช้เวลาศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมด้าน Life Coaching การอ่านหนังสือ การฝึกฝนตนเองผ่านประสบการณ์ตรงในการทำงาน การเข้ารับการโค้ชจากโค้ชผู้เชี่ยวชาญ การติดตามโค้ชที่มีความเชี่ยวชาญในการช่วยผู้รับการโค้ชให้เกิดการเปลี่ยนแปลง การวางแผนชีวิตที่ชัดเจน การคบเพื่อน มีกัลยาณมิตรที่จริงใจ การให้เวลากับตนเอง และครอบครัว

ทั้งหมดนี้ทำให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขจากข้างใน มีความมั่นคงในการทำงาน เข้าใจผู้อื่น เลือกใช้เวลา และพลังงานทำในสิ่งที่ตนเองสนใจและเป็นประโยชน์

ขอบคุณตนเองที่เลือกก้าวเดินบนเส้นทางสายไลฟ์โค้ช ได้พบเจอกับครูชีวิต กัลยาณมิตรมากมาย

 

เส้นทางการเรียนรู้การโค้ชของฉัน นำพาฉันมาเป็นตัวเองในวันนี้!

แล้วคุณหล่ะคะ เรียน Coaching แล้วได้อะไรกับตัวเองกันบ้าง?

———————————–

15 พฤศจิกายน 2563

เกี่ยวกับผู้เขียน: อ้อม ทัศนีย์ จารุสมบัติ, PCC โค้ชที่เดินบนเส้นทางชีวิตที่ใช่! เติบโตกับการสนับสนุนให้ผู้คนทำ Life Visioning ออกแบบ และ ใช้ชีวิตที่ใช่! ในแบบของตนเอง

ปัจจุบันเป็น Executive Coach, Facilitative Coach สนับสนุนผู้นำให้ใช้ People Skills หรือ Soft Skills เช่น Coaching, Facilitation, Conversation, Dialogue, Feedback, Recognition สร้างวัฒนธรรมองค์กรแห่งการอยู่ร่วม อยู่อย่างมีความหมาย

ติดต่อ:

Website: www.couragetocoach.net

Facebook: Tasanee Jarusombuti

LinkedIn: Tasanee Jarusombuti

Facebook Page: Courage to Coach

Official Line @couragetocoach

Email: couragetocoach@gmail.com

Tel: 086-165-6993

#CouragetoCoach #Coaching #Facilitation #life coaching

แชร์หน้านี้